วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การส่งเสริมการรักการอ่านในครอบครัว


ปลูกฝังให้เด็กไทยชอบหนังสือ


          เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันและคุณพ่อได้ไปเดินดูหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่38 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ค่ะดิฉันนั้น ปกติจะไปงานนี้ทุกปี และต้องได้หนังสือติดไม้ติดมือกลับบ้านหลายเล่มทุกครั้งไป บางปีก็ไปหารายได้พิเศษด้วยโดยไปช่วยคุณแม่ขายหนังสือ ซึ่งก็สนุกไปอีกแบบนะคะ 
          จำได้ว่าครั้งแรก ๆ ที่ดิฉันไปช่วยคุณแม่ขายหนังสือนั้น งานไม่ได้จัดที่ศูนย์ฯสิริกิติ์อย่างทุกวันนี้หรอกนะคะ แต่จัดที่ถนนลูกหลวง โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดงานเป็นประจำทุกปี ก่อนที่จะย้ายมาจัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน 
          งานนี้ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ งานที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่าน แต่เป็นที่น่าเศร้าใจว่า สถิติการอ่านหนังสือของคนไทยในปี พ.ศ. 2551 นั้น คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 39 นาทีต่อวัน ลดลงจากปี 2548 ซึ่งอ่านเฉลี่ย 51 นาทีต่อวัน 
          นอกจากนั้น คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 5 เล่มต่อปีซึ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิงคโปร์หรือเวียดนาม ซึ่งอ่านเฉลี่ยคนละ 40-60 เล่มต่อปี 
          ทางกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน และยังให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปีซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวันรักการอ่านอีกด้วย 
ทางรัฐบาลยังเห็นความสำคัญของการอ่านขนาดนี้ เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ควรช่วยกันด้วย จริงไหมคะ
          การปลูกฝังนิสัยการรักการอ่านนั้น ดิฉันว่าควรเริ่มจากในครอบครัวเราเองก่อนค่ะ โดยพ่อแม่อ่านหนังสือเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ไม่ใช่เอาแต่ดูทีวี และพ่อแม่ควรอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง หรือตอนเป็นทารก และอ่านต่อเนื่องทุก ๆ วันได้จะยิ่งดีค่ะ 
          นิดดา หงษ์วิวัฒน์ เรียบเรียงหนังสือเรื่อง "อ่านหนังสือให้ลูกฟัง", "The-Read-Aloud Handbook, Jim Trelease,2537 กล่าวว่า  "เด็กที่ไม่เคยมีใครเล่านิทาน อ่านหนังสือให้ฟัง ก็จะหมดความกระหายใคร่รู้หมดความอยากฝัน.. การอ่านหนังสือให้ลูกฟังวันละนิดนั้น.. ภาษาที่ลูกได้ฟัง ได้ซึมซับรับรู้ เป็นสะพานที่พ่อแม่ได้สร้างเชื่อมลูก โยงใยเข้าสู่การผจญภัย ความตื่นเต้น สนุกสนานสร้างจินตนาการอันเป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิต" 
          ดิฉันเลยสงสัยว่า สมัยเด็ก ๆ คุณพ่ออ่านนิทานให้ลูกฟังบ่อย ๆ หรือทำอย่างไร จึงเป็นผลให้ดิฉันรักการอ่านมาจนทุกวันนี้ค่ะ ?แหม ! ความจริงอ้อนแอ้นน่าจะจำได้ว่า ก่อนนอนพ่อจะต้องอ่านนิทานให้ฟัง แล้วยังสอน "หนังสือคือขุมทรัพย์" ! 
          แต่จริง ๆ แล้ววัฒนธรรมไทยที่รับมาจากอินเดียเป็นวัฒนธรรม "ฟัง" แล้ว "พูด" มากกว่า "อ่าน" และ "เขียน"พระไตรปิฎกเราใช้ท่องจำถ่ายทอดกันมาแบบมุขปาฐะ จนถึงสังคยานาครั้งที่ 5 พ.ศ. 460 จึงเริ่มจารึกเอาไว้เป็นตัวอักษร 
          สุภาษิตไทยเองก็บอกว่า "ปากเป็นเอกเลขเป็นโทหนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา" ดังนั้น  การส่งเสริมการอ่านหนังสือจึงไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องทำกันทุกระดับตั้งแต่ พ่อ แม่ครู อาจารย์ ไปจนถึงรัฐบาล  ความยากอยู่ที่ตรงนี้แหละ จะทำให้ พ่อ แม่ ครูอาจารย์ที่เป็นไม้แก่ดัดยาก อ่านหนังสือเป็นแบบอย่างเด็ก ๆได้อย่างไร ?   
          นอกจากนั้น จริยธรรมในการอ่าน คือ อ่านอะไรดี ?อ่านแล้วคิดอย่างไรดี ? และจะนำสิ่งที่อ่านไปใช้ประโยชน์ก็ต้องอ้างอิง ฯลฯ 
          สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญมาก..!!เพราะการอ่านเป็นเพียง "วิธี" ได้ข้อมูล แต่ "สาระ"ของข้อมูล และการใช้ข้อมูลก็สำคัญไม่แพ้กัน 
          หากไม่ปลูกฝังดี ๆ เราก็อาจมี "โจรวรรณกรรม" คือการลอกผลงานคนอื่นมาใช้โดยไม่อ้างอิงเต็มบ้านเต็มเมือง นะครับ !

  

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น